The Enneagram : Understanding Yourself And The Others In Your Life
ผู้แต่ง : เฮเลน พาล์มเมอร์
ผู้แปล : วาจาสิทธิ์ ลอเสรีวานิช
พิมพ์ครั้งแรก : 2546
เนื้อหา: เฮเลน พาล์มเมอร์ (Helen Palmer) เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกคนสำคัญที่ทำให้เอ็นเนียแกรมที่เกี่ยวกับบุคลิกลักษณะเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบัน The Enneagram : Understanding Yourself And The Others In Your Life นี้ เป็นหนังสือเล่มแรกของเธอที่ตีพิมพ์มาตั้งแต่ปี 1988 และนับเป็นหนังสือเกี่ยวกับ Enneagram ฉบับสมบูรณ์เล่มแรกที่กล่าวถึงประวัติความเป็นมา โครงสร้าง และเรื่องราวของลักษณ์ทั้งเก้า รวมถึงแนวทางในการพัฒนาตนเองของคนแต่ละลักษณ์ เนื้อหาสำคัญของหนังสือเล่มนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับประเด็นปัญหาของลักษณ์ต่าง ๆ มาจากการ ถอดความจากการสัมภาษณ์คนที่เป็นตัวแทนของแต่ละลักษณ์ (Panel Interview) แล้วกลั่นกรอง ตรวจเช็ค และสรุป เป็นวิธีการสอนเอ็นเนียแกรมในแบบที่เธอเรียกว่า “Oral Tradition” คือ ให้คนแต่ละลักษณ์แสดงเรื่องราวที่เป็นประเด็นชีวิตของตนเองด้วยการบอกเล่า Palmer เชื่อว่านี่เป็นวิธีถ่ายทอดความรู้เรื่องเอ็นเนียแกรมที่ทรงพลังที่สุด
ตัวอย่างบางส่วนจากตอนต้นของแต่ละบท
คนลักษณ์ 1 คนสมบูรณ์แบบนิยม (The Perfectionist)
คนลักษณ์หนึ่งเป็นเด็กดี เขาเรียนรู้ที่จะประพฤติตัวได้อย่างเหมาะสม มีความรับผิดชอบ และเหนือสิ่งอื่นใด ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของผู้อื่น เขาจดจำตอนที่เคยถูกตำหนิติเตียนอย่างเจ็บปวดได้ ทำให้เขาเรียนรู้ที่จะตรวจสอบตนเองอย่างเข้มงวด เพื่อหลีกเลี่ยงการทำสิ่งผิดพลาดให้ผู้อื่นเห็น คนหนึ่งคิดจากมุมมองของตัวเองว่า คนอื่นทุกคนก็ย่อมปรารถนาที่จะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเหมือนตัวเขา คนลักษณ์นี้จึงมักจะผิดหวังกับเรื่องที่เห็นว่าเป็นความผิดพลาดทางศีลธรรมของผู้อื่น
คนลักษณ์ 2 ผู้ให้ (The Giver)
คนลักษณ์สองชอบเข้าหาคนอื่นและทำให้คนอื่นชื่นชอบในตัวเขา คนลักษณ์นี้ต้องการความรัก การเป็นที่ยอมรับ การปกป้องจากคนอื่น รวมทั้งต้องการให้ตนมีความสำคัญอย่างมากต่อชีวิตคนอื่น เพราะในวัยเด็ก คนสองได้รับความรักและความมั่นคงทางจิตใจด้วยการตอบสนองความต้องการของผู้อื่น ความพยายามแสวงหาการยอมรับจากคนอื่นอย่างมาก ทำให้คนสองพัฒนาความละเอียดอ่อนเป็นพิเศษในการรับรู้อารมณ์และสิ่งที่คนอื่นชื่นชอบ ผู้ให้กล่าวว่า เขาจะปรับเปลี่ยนความรู้สึกตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการผู้อื่น เพื่อจะทำให้ตนเองเป็นที่นิยมชมชอบของคนนั้น และถ้าไม่ได้รับการยอมรับ เขาก็ยิ่งพยายามปรับตัวมากจนเหมือนย้ำคิดย้ำทำถึงขั้นทำให้ลืมความต้องการส่วนตัว เพราะพยายามประจบผู้อื่นให้ชอบตนเอง
คนลักษณ์ 3 นักแสดง (The Performer)
ลักษณ์สามเป็นเด็กดีที่พยายามสร้างความสำเร็จเพื่อให้ได้รับรางวัล เมื่อกลับจากโรงเรียนถึงบ้าน คำถามที่เด็กคนสามมักได้รับก็คือ “วันนี้ทำอะไร ได้เก่งแค่ไหน” มากกว่าเป็นคำถามเกี่ยวกับความรู้สึก คนสามได้รับรางวัลจากผลงานและภาพลักษณ์ มากกว่าจากความผูกพันทางอารมณ์หรือการเข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับชีวิตของคนอื่น เพราะเขาได้รับความรักเนื่องจากความสำเร็จ คนสามจึงเรียนรู้ที่จะระงับอารมณ์ตนเองและใส่ใจอยู่กับการแสวงหาสถานะทางสังคม ซึ่งจะเป็นหลักประกันว่าตนเองจะเป็นที่รัก คนสามคิดว่า จะต้องทำงานหนักเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ จะต้องเป็นผู้นำ จะต้องชนะ ความล้มเหลวเป็นเรื่องที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะผู้ชนะเท่านั้นที่ควรค่าแก่ความรัก
คนลักษณ์ 4 คนโศกซึ้ง (The Romantic)
คนลักษณ์สี่มักคิดถึงการถูกทอดทิ้งในวัยเด็ก เป็นผลให้เขาเป็นทุกข์จากความรู้สึกสูญเสียและรู้สึกมีบางอย่างขาดหายไป สภาพจิตใจของเขาเป็นเหมือนตัวเอกในเรื่องโศกซึ้ง (tragic romantic) ผู้ซึ่งแม้จะประสบความสำเร็จทางด้านทรัพย์สินเงินทองและชื่อเสียงเกียรติยศ แต่เขาหรือเธอนั้นก็ยังฝังจิตฝังใจอยู่กับอะไรบางอย่าง เช่น คนรักในอดีตที่จากไป ความรักที่ไกลเกินเอื้อม ความรักที่ได้แต่รอคอย หรืออาจเป็นมโนภาพแห่งความสุขที่จะเกิดขึ้นเมื่อได้พบรักแท้เท่านั้น เราจะเข้าใจโลกทัศน์ของคนลักษณ์นี้ได้ โดยนึกภาพว่าเราอยู่ในสภาวะจิตที่ตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตโดยใช้อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมา มากเท่ากับใช้ข้อเท็จจริงที่รับรู้ เป็นสภาวะที่ท่วงทำนองความรู้สึกและนัยยะแฝงเร้นในบทสนทนา มีความสำคัญและอยู่ในความทรงจำมากเท่า ๆ กับถ้อยความที่พูดออกมาจริง ๆ
คนลักษณ์ 5 นักสังเกตการณ์ (The Observer)
ตัวตนของนักสังเกตการณ์เป็นเหมือนป้อมปราการสูง บนยอดมีหน้าต่างบานเล็ก คนนอกไม่สามารถรุกล้ำเข้ามาได้ ผู้พำนักแทบจะไม่ได้เยื้องกายออกนอกกำแพงปราการนี้เลย แต่จะคอยแอบดูอย่างเงียบเชียบ ว่ามีใครมาที่ประตูบ้าง นักสังเกตการณ์เป็นคนเก็บตัวอย่างมาก เขาชอบใช้ชีวิตอยู่ในที่สันโดษ ห่างไกลจากความเกี่ยวข้องทางอารมณ์ ชอบอยู่บ้านและมักดึงสายโทรศัพท์ออก มองดูความเคลื่อนไหวอยู่ในระยะห่าง ด้วยสายตาราวกับว่าพยายามจะมีส่วนร่วม ในวัยเด็ก คนลักษณ์ห้ารู้สึกถูกบุกรุก เหมือนกำแพงป้อมปราการของเขามีช่องโหว่ และมีคนเข้ามาขโมยความเป็นส่วนตัวของเขาไป กลยุทธ์การป้องกันตนเองของเขาคือการแยกตัวออกห่าง ลดการติดต่อกับผู้อื่น ลดความต้องการให้น้อยลง และทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวไว้
คนลักษณ์ 6 นักปุจฉา (The Questioner)
คนลักษณ์หกหมดความไว้วางใจในผู้มีอำนาจตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ความทรงจำในวัยเด็กคือ กลัวคนที่มีอำนาจเหนือกว่า และอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ความทรงจำเหล่านี้ติดตัวมาจนเป็นผู้ใหญ่และกลายเป็นความสงสัยในแรงจูงใจของผู้อื่น คนหกพยายามลดความรู้สึกไม่มั่นคงในใจนี้ด้วยการแสวงหาผู้คุ้มครองที่เข้มแข็ง หรือไม่ก็ทำการต่อต้านคนมีอำนาจด้วยท่าทีแบบนักปุจฉา (Devil’s Advocate) ในด้านหนึ่ง คนหกปรารถนาที่จะเสาะหาผู้นำ หรือมอบความจงรักภักดีให้กับองค์กรที่สามารถคุ้มครองตน ซึ่งอาจเป็นองค์กรทางศาสนา บริษัท หรือมหาวิทยาลัย แต่ในอีกด้านหนึ่ง เขาก็ไม่ไว้ใจในระบบการใช้อำนาจ ท่าทีทั้งสองแบบของคนหกนี้ มีที่มาจากความหวาดระแวงในตัวคนมีอำนาจเหมือนกัน
คนลักษณ์ 7 นักชิม (The Epicure)
คนเจ็ดไม่แสดงความวิตกกังวลออกมาและดูเหมือนไม่หวาดกลัวอะไร เขามักสดใสรื่นเริง และยุ่งอยู่กับการวางแผนและการเล่นสนุก เขาไม่แสดงความหวาดระแวงของตนเองให้ใครเห็นตราบเท่าที่เขายังสามารถคิดถึงแผนการแห่งความสำเร็จในอนาคตนี่เป็นลักษณ์ของปีเตอร์แพนผู้เป็นเด็กตลอดกาล และเป็นลักษณ์ของนาร์ซิสซัส หนุ่มน้อยผู้หลงรักเงาของตนเองในสระน้ำ นางไม้ที่ชื่อเอคโคหลงรักนาร์ซิสซัส แต่เพราะเขามัวหลงอยู่กับความงามของตนเอง จึงไม่ได้ยินเสียงเรียกของนางเอคโค การหมกมุ่นอยู่กับตัวเองนี้ ทำให้เขาไม่ได้สนใจเธอ และเสียงเรียกนั้นก็กลายเป็นเพียงเสียงสะท้อนกลับ
คนลักษณ์ 8 เจ้านาย (The Boss)
คนลักษณ์แปดไม่รู้สึกหวาดหวั่นว่าจะขัดแย้งกับใคร ตรงกันข้าม เขามองตนเองเหมือนเป็นผู้พิทักษ์ความเป็นธรรม และรู้สึกภูมิใจในตนเองอย่างยิ่งกับการเป็นผู้ปกป้องผู้อ่อนแอ ความรักของเขาแสดงออกมาในแบบของการคอยปกป้องคุ้มครองคนที่เขารักมากกว่าในรูปแบบของความอ่อนโยน ความผูกพันหมายถึงการปกป้องคนรักไว้ในอ้อมแขน แล้วฝ่าฟันก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน ประเด็นสำคัญคือ การควบคุม อำนาจ และความยุติธรรมของคนมีอำนาจนั้น ลักษณ์แปดมักเข้าควบคุมรับผิดชอบ ใช้อำนาจจัดการ และคอยควบคุมไม่ให้คนอื่นมาแย่งชิงอำนาจ เขาจะรู้สึกว่าะต้องคอยทดสอบความยุติธรรมและความสามารถของคนที่มีมีอำนาจอยู่เสมอๆ
คนลักษณ์ 9 นักไกล่เกลี่ย (Mediator)
ในวัยเด็ก คนลักษณ์เก้ารู้สึกว่าตนเองถูกมองข้ามความสำคัญ ความทรงจำคือ ไม่ค่อยมีใครรับฟังเขา และความต้องการของคนอื่นสำคัญกว่าของเขาเอง ในที่สุด คนลักษณ์เก้าก็ตกอยู่ในภาวะหลับไหล คือ เขาหันเหการใส่ใจจากความปรารถนาแท้จริงไปหมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่ทำให้สบายใจ หรือเรื่องอื่นที่ทดแทนความรักได้ เมื่อตระหนักว่าเรื่องสำคัญของตนเองมักจะถูกมองข้ามอยู่เสมอ คนเก้าจึงเรียนรู้ที่จะทำให้ตัวเองหมดความรู้สึก หันเหความสนใจไปจากเรื่องสำคัญของตัวเอง และหลงลืมตัวเอง
เมื่อเกิดความจำเป็นเร่งด่วนขึ้นมา ลักษณ์เก้าอาจไม่สามารถจดจ่อกับมันได้นานนัก เขาอาจให้ความสำคัญกับเรื่องจุกจิกมากพอกันกับเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำให้ทันกำหนด เช่น บางคนอาจต้องการทำความสะอาดโต๊ะทำงานให้เสร็จ ก่อนที่จะจัดการกับเรื่องบิลที่เกินกำหนดชำระแล้ว ยิ่งเขามีเวลาและพลังงานที่จะทำเรื่องสำคัญนั้นมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งหันไปใส่ใจกับเรื่องจุกจิกมากเท่านั้น