เลี้ยงลูกสไตล์ไหน ทำให้เด็กพัฒนาการดีที่สุด?

เลี้ยงลูกแบบไหน ถึงจะดีต่อพัฒนาการของเด็ก?

ในยุคโซเชียลนี้ คุณพ่อคุณแม่ได้หันมาใส่ใจพัฒนาการของลูกกันมากขึ้น แฟนเพจที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กและวิธีการเลี้ยงดูที่ถูกต้อง ก็มีมากมายหลายแห่งให้คุณพ่อคุณแม่ได้ศึกษาหาความรู้กัน

อย่างไรก็ตาม ทุกเทคนิคการเลี้ยงดูที่เป็นแบบแผนมาตรฐานนั้น จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากคุณพ่อคุณแม่ ได้เข้าใจลักษณะทางจิตวิทยาบุคลิกภาพของเด็กแต่ละคน และเข้าใจว่าสไตล์การเลี้ยงลูกของแต่ละท่านเข้ากันกับนิสัยของลูกๆ ได้ดีแค่ไหน

เอ็นเนียแกรม หรือ นพลักษณ์ เป็นความรู้บุคลิกภาพ ที่แบ่งคนออกเป็น 9 เบอร์ และอธิบายให้เรารู้ถึงลักษณะนิสัยของบุคลิกทั้ง 9 แบบ ที่มีอยู่ในตัวคนทุกคน และทำให้เกิด “แบบแผนเฉพาะตัว” ที่เรามักใช้เป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสภาวะตั้งใจทำบางสิ่งบางอย่าง หรือแม้แต่ในการเลี้ยงดูบุตรหลานก็เช่นเดียวกัน

อันที่จริง ทั้ง 9 บุคลิกนี้ ไม่มีแบบไหนดีกว่าหรือด้อยกว่า  ความแตกต่างที่มี คือแรงจูงใจใต้สำนึกลึก ๆ ที่เป็นสิ่งกำหนดมุมมอง ความคิด และการกระทำของแต่ละบุคคล   ซึ่งแต่ละแบบมีจุดที่ควรแก้ไขแตกต่างกันไป ซึ่งตรงนี้เองที่ ถ้าเราทำได้ ก็จะทำให้สามารถใช้ศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเราได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น มาลองดูฉายาพ่อแม่แต่ละสไตล์ และตัวอย่างการเลี้ยงลูกแบบชัดๆ กันเลยดีกว่าครับ

คนเบอร์ 1 พ่อแม่ นักจัดระเบียบ

คุณพ่อหรือคุณแม่สไตล์นักจัดระเบียบ มักใช้ระเบียบวินัย และกำหนดตารางเวลากิจกรรมให้กับเด็ก โดยคิดว่า เป็นการเน้นให้เด็กเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีจริยธรรม ตรงต่อเวลา และมีความรับผิดชอบ   ถ้าเป็นพ่อแม่ที่ทำงานนอกบ้าน ก็อาจรู้สึกกังวลใจที่ไม่สามารถให้เวลากับลูกตามที่กำหนดไว้  ซึ่งเกิดจากความกังวลว่า เด็กจะรู้สึกไม่ค่อยดี  คุณพ่อคุณแม่สไตล์นี้ควรมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และพยายามเข้าใจว่า บางครั้ง เด็กก็ชอบอะไรที่แตกต่างไป และต้องการความยืดหยุ่นในแต่ละวันพอสมควร

คนที่ได้รับการเลี้ยงดูมาในสไตล์นี้ มักจะให้ความไว้วางใจในตัวผู้เลี้ยงดูอย่างมาก แต่ก็อาจคิดว่า ผู้ใหญ่นั้นมักชอบตำหนิ หรือเข้มงวดจนเกินไป

 

คนเบอร์ 2 พ่อแม่ ผู้ช่วยเหลือ

คุณพ่อหรือคุณแม่สไตล์นี้มักมีความสุขกับการอยู่กับลูก   และมักให้ความรักและกำลังใจในเรื่องที่เด็กนั้นสนใจ   ความผูกพันที่ให้กับเด็กอย่างมากนั้น บางครั้งทำให้พ่อแม่สไตล์ผู้ช่วยเหลือจะคอยทำสิ่งต่างๆ ให้เด็กมากเกินไป จนเด็กนั้นไม่มีโอกาสที่จะเรียนรู้จากการทำอะไรผิดพลาดบ้าง   ผู้ใหญ่สไตล์นี้ยังรู้สึกอึดอัดที่จะบอกความรู้สึกแท้จริงของตน หรือพูดอะไรที่ดูเป็นไปในทางลบเกินไป  ดังนั้น บ่อยครั้งจึงใช้วิธีอ้อม ๆ ในการให้เด็กทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่นั้นต้องการ

คนที่ได้รับการเลี้ยงดูมาในสไตล์นี้อาจรู้สึกซาบซึ้งกับความผูกพันและความเอาใจใส่ของพ่อแม่ในเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตของตนเอง  หรือไม่ก็อาจรู้สึกอึดอัดเหมือนชีวิตถูกครอบงำโดยผู้ใหญ่นั้น

 

คนเบอร์ 3 พ่อแม่ ผู้มุ่งความสำเร็จ

คุณพ่อหรือคุณแม่จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นคนในสไตล์นี้ มักต้องการให้เด็กของตนมีคุณลักษณะของผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต คือ มีความมั่นใจ มองโลกในแง่ดี  กระฉับกระเฉง และมีแรงผลักดันในตัวเอง   พ่อแม่แบบนี้คิดว่า ถ้าลูก ๆ ได้เป็นเชียร์ลีดเดอร์ หัวหน้าห้อง หรือประธานนักเรียนแล้ว ชีวิตก็จะอยู่ในสถานะที่ดีและมีความสุข   อย่างไรก็ตาม เด็กแต่ละคนเกิดมาพร้อมกับบุคลิกภาพเฉพาะตัว ซึ่งก็สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตในรูปแบบที่แตกต่างกันไป   พ่อแม่ผู้มุ่งความสำเร็จควรมองหาพรสวรรค์และความสนใจที่แท้จริงที่มีอยู่ในตัวของลูก ซึ่งอาจแตกต่างจากสิ่งที่ตัวพ่อแม่นั้นมีอยู่ หรืออยากให้เป็น

คนที่มีธรรมชาติในตัวที่มุ่งสร้างความสำเร็จจะชื่นชมสิ่งที่ได้เรียนรู้จากพ่อแม่สไตล์นี้   แต่บางคนจะรู้สึกว่า พ่อแม่ของตนคลั่งไคล้กับความสำเร็จ และคอยผลักดันตัวเองมากเกินไป และมักบ่นว่า พวกเขาไม่ได้ให้เวลากับตนมากเท่าที่ควร

 

คนเบอร์ 4 พ่อแม่ ผู้ละเอียดอ่อน

คุณพ่อหรือคุณแม่สไตล์นี้ จะมีความเข้าอกเข้าใจ ความอบอุ่น และความสร้างสรรค์มอบให้แก่เด็กอย่างมาก  แต่ก็ต้องพยายามส่งเสริมเรื่องที่เด็กของตนมีความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พ่อแม่นั้นชอบหรือไม่ก็ตาม   พ่อแม่สไตล์นี้อาจทำให้ลูก ๆ ที่ไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกที่รุ่มรวยทางอารมณ์ รู้สึกอึดอัดอย่างมาก  ควรตระหนักว่า เด็กส่วนใหญ่ไม่ได้มีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนมากเท่าเรา

คนที่ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่สไตล์นี้มักพูดว่า คุณพ่อคุณแม่ของตนนั้นมีเสน่ห์และน่าหลงใหล  แต่บางคนบอกว่า รู้สึกกลัวอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและความเศร้าในตัวของท่าน  พ่อแม่สไตล์นี้มักกล่าวว่า รู้สึกเปี่ยมล้นไปด้วยความวิจิตรและสิ่งมหัศจรรย์ที่ได้มีลูก แต่บางครั้งก็รู้สึกสมเพชหรือเศร้าอยู่แปลก ๆ

 

 

 

คนเบอร์ 5 พ่อแม่ นักสังเกตการณ์

เป็นเรื่องยากสำหรับคุณพ่อหรือคุณแม่นักสังเกตการณ์ที่จะละวางจากโปรเจ็ค หรือความคิดของตนเพื่อไปใช้เวลาอยู่กับเด็กได้ตลอดเวลา   ในขณะที่กำลังคิดอะไรอยู่นั้น พ่อแม่สไตล์นี้จำเป็นต้องระมัดระวังอย่าให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิดรำคาญ หรือใช้อำนาจกับลูกของตนจนเกินไป   คนประเภทนักสังเกตการณ์นี้มักแบ่งสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตออกเป็นส่วน ๆ แยกจากกัน ดังนั้น จึงอาจรู้สึกสบายใจถ้ารู้จักแบ่งเวลาบางส่วนในแต่ละวันเพื่อที่จะอยู่กับเด็กอย่างเต็มที่ในช่วงนั้น

คนที่มีคุณพ่อหรือคุณแม่สไตล์นี้บางครั้งกล่าวว่า รู้สึกไม่ดีกับความห่างเหินของพ่อแม่ แต่ก็ชอบอารมณ์ขันแบบแปลก ๆ ของท่าน   พ่อแม่ประเภทนี้บางครั้งกล่าวว่า พวกเขาให้ความสนใจกับลูกมากขึ้น เมื่อลูกเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยทีน (10ปี) เพราะสามารถคุยกันในเรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้น

 

คนเบอร์ 6 พ่อแม่ นักซักถาม

คุณพ่อหรือคุณแม่แบบนี้มักจริงใจและหวังดีอย่างมาก จนบางครั้งอาจปกป้องลูกของตนจนเกินไป  พ่อแม่สไตล์นี้ไม่ค่อยกล้าปล่อยให้ลูกออกสู่โลกกว้างเพราะกลัวอันตราย โดยลืมไปว่า เด็กจะเอาตัวรอดได้ดีกว่าถ้าพวกเขาได้เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาของตัวเอง   พ่อแม่สไตล์นักปุจฉาต้องคอยสำรวจดูความโน้มเอียงของตนเองที่ชอบคิดโต้แย้งตลอดเวลา เพราะสิ่งนี้จะบั่นทอนความมั่นใจของเด็ก  นอกจากนี้ ยังต้องระวังในเรื่องการพูดเสียดสี และการหยอกล้อแหย่เล่นเช่นกัน

คนที่มีพ่อหรือแม่สไตล์นักซักถาม ที่มี “กังวลแล้วเป็นห่วง” จะบอกว่า ความกระวนกระวายใจของท่าน ทำให้ตัวลูกรู้สึกประสาทเสีย  ส่วนคนที่มีพ่อแม่สไตล์นี้ที่ “กังวลแล้วดุ” มักคิดว่า ถูกเคี่ยวเข็ญและคาดหวังหนักเกินไป   แต่ทั้งสองลักษณะนี้ ก็เป็นพ่อแม่ที่อุทิศตัวให้กับลูก ๆ อย่างมาก

 

คนเบอร์ 7 พ่อแม่ นักผจญภัย

คุณพ่อหรือคุณแม่สไตล์นี้ชอบเด็กที่ร่าเริงและขี้เล่น  แต่ถ้ามีลูกที่เป็นเด็กเคร่งเครียด ขี้กังวล หรือกร้าวร้าว พ่อแม่นักผจญภัยนี้ก็จะต้องปรับตัวอย่างมาก   เคยมีตัวอย่างของคุณแม่นักผจญภัยท่านหนึ่ง ซึ่งพาคุณลูกสไตล์ผู้ปกป้องที่ยังเตาะแตะไปเที่ยวต่างประเทศ  แล้วหนูน้อยคนนั้นมีปัญหาในการปรับตัวอย่างมาก  คุณแม่กับคุณพ่อเลยต้องตัดสินใจที่จะพักอยู่ในที่เดียวตลอดระยะเวลาครึ่งหลังของการเดินทางครั้งนั้น   ถ้าพ่อแม่สไตล์นี้รู้สึกว่าเด็กทำให้ตนไปไหนไม่ได้ ก็จะคิดหาเรื่องสนใจใหม่ ๆ ที่สามารถทำได้ที่บ้านแม้จะถูกรบกวนอยู่บ้าง

คนที่มีพ่อแม่นักผจญภัยบางครั้งจะรู้สึกสับสนเพราะไม่รู้ว่า ท่านจะกลับถึงบ้านในเวลาดึกดื่นเพียงใด แต่เขาก็ชอบฟังเรื่องราวรวมทั้งเรื่องตลกที่ท่านเล่า   แต่บางคนก็บ่นว่า คุณพ่อคุณแม่นั้นเรียกร้องความสนใจจากลูกมากเกินไป หรืออาจไม่รับฟังคนอื่นเลย

 

คนเบอร์ 8  พ่อแม่ ผู้ปกป้อง

คุณพ่อหรือคุณแม่สไตล์นี้คอยปกป้องลูก  เป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องความมั่นใจในตนเองและการกล้าลงมือทำ   แต่สิ่งที่ต้องตระหนักคือ เรื่องความโกรธของตน ที่จะมีผลเสียอย่างมากต่อลูก และต้องพยายามที่จะไม่ยัดเยียดสิ่งต่าง ๆ ให้กับลูกตามความต้องการของตนเอง  พ่อแม่ลักษณะนี้อาจรู้สึกลำบากในการปรับตัวให้เข้ากับลูก และก็ไม่ค่อยได้รับรู้ความแตกต่างระหว่างตนเองกับลูก   คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกป้องนี้จะต้องมองว่า เด็กนั้นก็มีคุณลักษณะอื่น ๆ ในตัวที่เป็นข้อดี  เช่น การรู้จักที่จะประนีประนอม หรือการแสดงออกถึงความอ่อนโยน

คนที่มีพ่อแม่สไตล์นี้จะมีวิธีการตอบสนองแตกต่างกันไปตามบุคลิกของตน   ตัวอย่างเช่น ลูกสาวสไตล์นักผจญภัยผู้หนึ่งที่รู้สึกผูกพันอย่างมากกับคุณพ่อผู้ปกป้อง   คุณพ่อท่านนี้ชอบแสดงความกล้าให้ลูกคนนี้ดู เขาชอบเล่นกับเธอและสอนเธอร้องเพลงตั้งแต่ยังเป็นเด็น  ในเวลาต่อมา ก็ได้ส่งเสริมให้เธอก้าวเข้าสู่อาชีพนักร้องและนักแสดง

 

คนเบอร์ 9 พ่อแม่ นักประสานไมตรี

คนในสไตล์ผู้ประสานไมตรีจำนวนมาก มีความสามารถพิเศษที่จะรับรู้ความรู้สึกและความต้องการของเด็ก  และสามารถเข้าใจและให้ความอบอุ่นอย่างมากแก่เด็ก  คุณพ่อคุณแม่สไตล์นี้อาจจำเป็นที่จะต้องกล่าวปฏิเสธเด็กบ้าง และต้องไม่ตามใจเด็กจนเกินไป   แทนที่จะคอยต่อรองกับลูก ก็ควรต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนและรักษาอำนาจของตน

คนที่มีพ่อแม่สไตล์นี้มักพูดบ่อยๆ ว่า เขาเข้ากับพ่อแม่ได้อย่างประสานกลมกลืนกัน  และรู้สึกมั่นคง  และก็รู้สึกไม่อยากแยกจากท่านจนบางครั้งก็เป็นปัญหาเหมือนกัน   ลูก ๆ ของคนสไตล์นักไกล่เกลี่ยมักซาบซึ้งที่พ่อแม่ให้ความเป็นอิสระและเปิดใจกว้างกับกิจกรรมหรือเรื่องต่างๆ ที่ตนสนใจ

 

 

เป็นอย่างไรบ้างครับ  คุณผู้อ่านพอจะมองบุคลิกตามเอ็นเนียแกรมของคุณจากสไตล์การเลี้ยงเด็กออกไหม?  ผมเชื่อว่า คุณที่มีความเข้าใจและสังเกตตัวเองได้ดีพอสมควร ก็จะพอมองเห็นได้ไม่ยาก และพอเข้าใจที่มาที่ไปของสไตล์การเลี้ยงลูกของคุณพ่อคุณแม่แต่ละท่านแล้ว ส่วนคำตอบของคำถามข้างต้นที่ว่า สไตล์การเลี้ยงดูแบบไหน ที่จะทำให้ลูกเกิดพัฒนาการดีที่สุด คำคอบคงจะกระจ่างแจ้งในใจแล้วว่า คุณพ่อคุณแม่ควรจะต้องดูธรรมชาติของเขา และวิธีการของตัวเราด้วย ประกอบกันไปนั่นเองครับ

 


คลิ้กเพื่อดูรายละเอียด

 

เรียบเรียงจาก  “เกิดมาต่างกัน เลี้ยงดูฉันอย่างเข้าใจ”
เขียน Elizabeth Wagele
แปล วาจาสิทธิ์ ลอเสรีวานิช

 

 

 


อ. วาจาสิทธิ์ ลอเสรีวานิช (CPA, MBA, MA)
MD บ. สยามเอ็นเนียแกรม คอลซัลติ้ง จำกัด
– Certified Enneagram Trainer, Accredited Enneagram Teacher (IEA)
– Certified MBTI Practitioner
– ประสบการณ์ในบริษัทต่างๆ 20 ปี (ตำแหน่งสุดท้าย Finance & HR Director – Bisnews AFE)
– นำการสัมมนาหลักสูตร เอ็นเนียแกรม ให้กับองค์กรต่างๆ มากกว่า 500 รุ่น
– แปลหนังสือเอ็นเนียแกรม และอื่นๆ รวม 14 เล่ม